😊แบบฝึกหัดท้ายบทที่
4😊
🔰🔰🔰
1.จงอธิบายถึงการจัดการศึกษาปฐมวัยในช่วงไม่มีระบบโรงเรียน
ตอบ
ยุคก่อนมีระบบโรงเรียน การจัดการศึกษาทุกระดับ รวมทั้งระดับปฐมวัย
ยังไม่มีการดำเนินการอย่างเป็นแบบแผน ซึ่งเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า
การศึกษาแบบไม่เป็นทางการ คือ ไม่มีการกดหนดหลักเกณฑ์ที่แน่นอน
ไม่มีโรงเรียนสำหรับเรียนโดยเฉพาะ ไม่มีหลักสูตร ไม่มีการบังคับ เป็นการสอนแบบให้เปล่า
ไม่มีค่าจ้างหรือค่าเล่าเรียน การเรียนจึงขึ้นอยู่กับความสมัครใจของผู้เรียน
เนื้อหาที่เรียนเน้นด้านพุทธิศึกษาและวิชาชีพ เป็นหลัก
2.จงอธิบายถึงปัจจัยที่ทำให้เกิดการปฏิรูปการศึกษาในสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ตอบ พระองค์ได้ทรงตระหนัก เพื่อปรับปรุงคนในประเทศให้มีความรู้ความสามารถจะช่วยให้
ประเทศชาติมีความเจริญก้าวหน้าในทุกๆ ด้าน ดังพระราชดำรัสที่ว่า “
วิชาหนังสือเป็นวิชาที่น่านับถือและเป็นที่น่าสรรเสริญมาแต่โบราณว่า
เป็นวิชาอย่างประเสริฐซึ่งผู้ยิ่งใหญ่นับแต่ พระมหากษัตริย์เป็นต้นมา
ตลอดจนราษฎรพลเมืองสมควรและจำเป็นจะต้องรู้เพราะเป็นวิชาที่อาจทำให้การทั้งปวงสำเร็จในทุกสิ่งทุกอย่าง…
(ประไพ เอกอุ่น. 2542 : 83 - 84) การที่พระองค์ทรงเห็นความสำคัญของการศึกษา
จึงได้มีการจัดการศึกษาอย่างมีระเบียบแบบแผน
3.จงอธิบายถึง
วิชาหรือเนื้อหาสาระ 10อย่าง ของโรงเลี้ยงเด็ก พ.ศ.2433
ตอบ
1.ให้อ่านหนังสืออก เขียนได้
2.ให้คิดเลขเป็น
3.ให้รู้จักรักษาอิริยาบถ
4.ให้หุงข้าวต้มแกงเป็น
5.ให้เย็บผ้าเป็น
6.ให้ขึ้นต้นไม้เป็น
7.ให้ว่ายน้ำเป็น
8.ให้ปลูกทับกระท่อมที่อยู่เป็น
9.ให้รู้จักปลูกต้นไม้
10.ให้รู้จักเลี้ยงสัตว์
4.การจัดการศึกษาระดับก่อนประถมศึกษาในโครงการศึกษา
พ.ศ.2441 แบ่งออกเป็นกี่ระดับ จงอธิบาย
ตอบ
4 ระดับ
1.การเล่าเรียนเบื้องแรก (มูลศึกษา)
2.การเล่าเรียนเบื้องต้น (ประถมศึกษา)
3.การเล่าเรียนเบื้องกลาง (มัธยมศึกษา)
4.การเล่าเรียนเบื้องสูง (อุดมศึกษา)
5.ในยุคเริ่มต้นของการจัดอนุบาลเอกชน
พ.ศ.2454-2470 มีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร จงอธิบาย
ตอบ
ในช่วงนี้กลุ่มมิชชั่นนารีได้เข้ามาจัดตั้งโรงเเรียนขึ้นมาในประเทศไทย
ทำให้มีการเปิดแผนกอนุบาลขึ้นในโรงเรียนเอกชนหลายแห่ง
ในช่วงที่มีโรงเรียนราษฎร์เกิดขึ้นอย่างมากมายนั้น
การจัดการศึกษาของโรงเรียนแต่ละแห่งล้วนมีความแตกต่างกัน
การจัดการเรียนการสอนวิชาต่างๆก็สอนตามความพอใจและสอนตามความสามารถของแต่ละโรงเรียน
เกิดปัญหาขาดความเป็นเอกภาพด้านการเรียนการสอนรัฐบาลจึงได้ตราพระราชบัญญัติโรงเรียนราษฎร์ขึ้นในปี
พ.ศ.2461
เพื่อควบคุมดูแลให้การจัดการศึกษาปฐมวัยในโรงเรียนราษฎร์เป็นไปในแนวเดียวกัน ในปีพ.ศ.2464 ได้มีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญคือ
ได้มีดารประกาศพระราชบัญญัติประถมศึกษา สาระสำคัญของพระราชบัญญัตินี้คือ
บังคับให้เด็กทุกคนที่มีอายุตั้งแต่7ปีบริบูรณ์เรียนโดยไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียน
นอกจากนั้นในปีเดียวกันนี้ยังได้มีการปรับโครงการศึกษาใหม่
โดยดัดแปลงจากโครงการศึกษาฉบับ พ.ศ.2456 และฉบับแก้ไข พ.ศ.2458 โดยมีข้อความที่ใช้คล้ายคลึงกันเช่น
แบ่งการศึกษาออกเป็น2ประเภท คือ สามัญศึกษาและวิชาสามัญศึกษา
แบ่งเป็นชั้นประถมศึกษา 5 ปี ชั้นมัธยมศึกษา 8 ปี
การกำหนดอายุนักเรียนเทียบเข้าชั้นตามหลักสูตรสามัญศึกษา
สำหรับชั้นประถมศึกษาเป็นดังนี้
1.ปีที่ 1 อายุปีที่ 8
2.ปีที่ 2 อายุปีที่ 9
3.ปีที่ 3 อายุปีที่ 10
4.ปีที่ 4 อายุปีที่ 11
5.ปีที่ 5 อายุปีที่ 12
สำหรับโรงเรียนอนุบาลไม่ว่ามีในที่แห่งใด
อยู่เบื้องต้นของประถมศึกษาแสดงว่าโรงเรียนอนุบาลได้มีขึ้นแล้วในสมัยนั้น
6.การจัดตั้งโรงเรียนอนุบาลละอออุทิศมีความเป็นมาอย่างไร
จงอธิบาย
ตอบ
ดังได้กล่าวมาแล้วว่าหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
การศึกษาปฐมวัยได้รับความสนใจมากขึ้น
นักการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาระดับนี้ตระหนักถึงความสำคัญของวัยเด็ก
จึงจัดการศึกษาสำหรับเด็กปฐมวัยนี้กว้างขวางขึ้นมีการเตรียมการจัดตั้งโรงเรียนอนุบาลของรัฐ
และขยายโรงเรียนไปยังส่วนภูมิภาค สรุปได้ดังนี้ (อารี รังสินันท์, 2539)
2.1
การเตรียมการจัดตั้งโรงเรียนอนุบาลแห่งแรกและการขยายโรงเรียนอนุบาลของรัฐ
ดังที่กระทรวงธรรมการและผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการจัดการศึกษาได้เล็งเห็นความสำคัญของการจัดการศึกษาปฐมวัยจึงได้เริ่มเตรียมการจัดตั้งโรงเรียนอนุบาลศึกษาขึ้น
ได้ตั้งคณะกรรมการจัดตั้งโรงเรียนอนุบาลของกระทรวงขึ้นในปี พ.ศ. 2480 ประกอบด้วย
1)
นายนาค เทพหัสดิน ณ อยุธยา
2)
ม.ล.มานิจ ชุมสาย
3)
นางจำนง เมืองแมน (นางพิณพาทพิทยเพท)
ในระหว่างปี
2480-2482
กระทรวงธรรมการได้จัดส่งครูหลายท่านไปศึกษาและดูงานการศึกษาปฐมวัยในประเทศญี่ปุ่น
อาทิ นางจิตรา ทองแถม ณ อยุธยา ไปศึกษาและดูงาน ณ ประเทศญี่ปุ่นเวลา 6 เดือน
และได้กลับมาจัดเตรียมการดำเนินงานโรงเรียนอนุบาล และได้ส่งนางสาวสมถวิล สวยสำอาง (นางสมถวิล สังขะทรัพย์)
ไปศึกษาด้านการศึกษาปฐมวัย ณ ประเทศญี่ปุ่น ในปี พ.ศ. 2482
กระทรวงธรรมการได้คัดเลือกครู 3 คน คือนางสาวสวัสวดี วรรณโกวิท นางสาวเอื้อนทิพย์ วินิจฉัยกุล (นางเอื้อนทิพย์
เปรมโยธิน) และนางสาวเบญจา ตุงคะสิริ (คุณหญิงเบญจา แสงมะลิ) ไปศึกษาการอนุ ณ
ประเทศญี่ปุ่น
ซึ่งท่านเหลานี้ก็ได้กลับมาเป็นผู้นำทางการศึกษาปฐมวัยของไทยในเวลาต่อมา
2.2 การเปิดโรงเรียนอนุบาล
เมื่อกระทรวงธรรมการได้มีการเตรียมการพ้อมทั้งในด้านบุคลากรและอื่นๆ
จึงได้เปิดโรงเรียนอนุบาลแห่งแรกของรัฐขึ้นในจังหวัดพระนครชื่อว่าโรงเรียนอ
นุบาลละอออุทิศ
ได้รับเงินบริจาคในกองมรดกของ น.ส.ละออ ลิ่มเซ่งไถ่
สำหรับสร้างอาคารเรียนโรงเรียนอนุบาลละอออุทิศได้เปิดทำการสอนเมื่อวันที่ 2
กันยายน พ.ศ. 2483 ในสังกัดกรมการฝึกหัดครูซึ่งมี ม.ล.มานิจ ชุมสาย
เป็นหัวหน้ากองฝึกหัดครูในขณะนั้น และมีนางจิตรา ทองแถม ณ อยุธยา เป็นครูใหญ่
โรงเรียนอนุบาลละอออุทิศที่จัดทั้งขึ้นในระยะแรกนั้นมีวัตถุประสงค์เพื่อทดลองการจัดการการอนุบาลศึกษาและเพื่อทดลองความสนใจความเข้าใจประชาชนในเรื่องการศึกษาปฐมวัย
รับนักเรียนชายหญิงที่มีอายุระหว่าง 3 ปีครึ่งไปจนถึง 6 ปี หรือจนเข้าเรียนในชั้นประถมศึกษา
2.3
ความมุ่งหมายและวิธีการอบรม
2.3.1
เพื่อเตรียมสภาพจิตใจของเด็กให้พร้อมที่จะรับการศึกษาในชั้นต่อไป
หัดให้ใช้เครื่องมือต่างๆ ในการเรียน การเล่น และการประดิษฐ์
อบรมให้เป็นคนช่างคิดช่างทำ ขยันไม่อยู่นิ่งเฉย และเป็นคนว่องไวกระฉับกระเฉง
2.3.2 เพื่ออบรมเด็กให้เป็นคนมีความสังเกต มีไหวพริบ
เฉลียวฉลาด คิดหาเหตุผลให้เกิดความเข้าใจด้วยตนเอง มีความพากเพียร พยายาม
อดทนไม่จับจด
2.3.3
เพื่ออบรมให้เป็นคนพึ่งตนเอง สามารถทำ หรือปฏิบัติอะไรได้ด้วยตนเอง
เด็กในโรงเรียนอนุบาลนี้จะต้องอบรมให้ช่วยตัวเองให้มากที่สุด
โดยไม่มีพี่เลี้ยงคอยตักเตือน หรือคอยรับทำให้ ครูเป็นแต่ผู้คอยดูแลห่างๆ เท่านั้น
2.3.4
เพื่อหัดมารยาทและศีลธรรมทั้งในส่วนตัวและการปฏิบัติต่อสังคมและหัดมารยาทในการนั่ง
นอน เดิน และรับประทาน ฯลฯ หัดให้เป็นคนสุภาพเรียบร้อย
ฝึกนิสัยให้เป็นคนมีศีลธรรมอันดี มีจิตใจเข้มแข็ง มีระเบียบ รักษาวินัย
มีความสามัคคีซึ่งกันและกัน
2.3.5
เพื่อปลูกฝังนิสัยทางสุขภาพอนามัย รู้จักระวังสุขภาพของตน
เล่นและรับประทานอาหารเป็นเวลา รู้จักรักษาร่างกายให้สะอาด และแข็งแรงอยู่เสมอ
2.3.6
เพื่ออบรมให้เด็กเป็นคนร่าเริง มีการสอนร้องเพลง และการเล่นที่สนุกสนานทั้งนี้เพื่อจะได้เป็นนักสู้ซึ่งเต็มไปด้วย
ความรื่นเริงเบิกบานและคิดก้าวหน้าเสมอ
7.แผนการศึกษาชาติฉบับพ.ศ.2503
แบ่งการศึกษาเป็นกี่ระดับ จงอธิบาย
ตอบ
4 ระดับคือ
1.อนุบาลศึกษา
2.ประถมศึกษา
3.มัธยมศึกษา
4.อุดมศึกษา
8.ในปีพ.ศ.2523
กระทรวงศึกษาธิการ
ได้มีการจัดตั้งหน่วยงานใดให้รับผิดชอบการศึกษาระดับก่อนประถมศึกษา
ตอบ
สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ
9.หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย
พ.ศ.2546 มีความเป็นมาอย่างไร จงอธิบาย
ตอบ
ปรัชญาการศึกษาปฐมวัย
การศึกษาปฐมวัยเป็นการพัฒนาเด็ก
ตั้งแต่แรกเกิดถึง ๕ ปี* บนพื้นฐานการอบรมเลี้ยงดูและการส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้
ที่สนองต่อธรรมชาติ และพัฒนาการของเด็กแต่ละคน ตาม ศักยภาพ
ภายใต้บริบทสังคม-วัฒนธรรม ที่เด็กอาศัยอยู่ ด้วยความรัก ความเอื้ออาทร
และความเข้าใจของทุกคน
เพื่อสร้างรากฐานคุณภาพชีวิตให้เด็กพัฒนาไปสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์
เกิดคุณค่าต่อตนเองและสังคม
หลักการ
เด็กทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับการอบรมเลี้ยงดูและส่งเสริมพัฒนาการ
ตลอดจน การเรียนรู้อย่างเหมาะสม ด้วยปฏิสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเด็กกับพ่อแม่
เด็กกับผู้เลี้ยงดู
หรือบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถในการอบรมเลี้ยงดูและให้การศึกษาเด็กปฐมวัย
เพื่อให้เด็กมีโอกาสพัฒนาตนเองตามลำดับขั้นของพัฒนาการทุกด้าน อย่างสมดุล
และเต็มตามศักยภาพ โดยกำหนดหลักการ ดังนี้
๑.
ส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้และพัฒนาการที่ครอบคลุมเด็กปฐมวัย ทุกประเภท
๒.
ยึดหลักการอบรมเลี้ยงดูและให้การศึกษาที่เน้นเด็กเป็นสำคัญ
โดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล และวิถีชีวิตของเด็กตามบริบทของชุมชน สังคม
และวัฒนธรรมไทย
๓.
พัฒนาเด็กโดยองค์รวมผ่านการเล่นและกิจกรรมที่เหมาะสมกับวัย
๔.
จัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้สามารถดำรงชีวิตประจำวันได้อย่างมีคุณภาพและมีความสุข
๕.
ประสานความร่วมมือระหว่างครอบครัว ชุมชน และสถานศึกษาในการพัฒนาเด็ก
หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย
หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า
๓ ปี จัดขึ้นสำหรับพ่อแม่ ผู้เลี้ยงดูหรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับการอบรมเลี้ยงดูและพัฒนาเด็ก
เพื่อใช้เป็นแนวทางในการอบรมเลี้ยงดูและจัดประสบการณ์การเรียนรู้อย่างเหมาะสมกับเด็กเป็นรายบุคคล
จุดหมาย
การพัฒนาเด็กอายุต่ำกว่า
๓ ปี มุ่งส่งเสริมให้เด็กมีพัฒนาการด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม
และสติปัญญาที่เหมาะสมกับวัย ความสามารถ ความสนใจ และความแตกต่างระหว่างบุคคล
เพื่อให้เด็กมีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ ดังนี้
๑.
ร่างกายเจริญเติบโตตามวัยและมีสุขภาพดี
๒.
ใช้อวัยวะของร่างกายได้คล่องแคล่วประสานสัมพันธ์กัน
๓.
มีความสุขและแสดงออกทางอารมณ์ได้เหมาะสมกับวัย
๔.
รับรู้และสร้างปฏิสัมพันธ์กับบุคคลและสิ่งแวดล้อมรอบตัว
๕.
ช่วยเหลือตนเองได้เหมาะสมกับวัย
๖.
สื่อความหมายและใช้ภาษาได้เหมาะสมกับวัย
๗.
สนใจเรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบตัว
การจัดประสบการณ์
การจัดประสบการณ์สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า
๓ ปี เพื่อให้เด็กได้เรียนรู้จาก ประสบการณ์ตรง เกิดความรู้ ทักษะ คุณธรรม
จริยธรรม ได้พัฒนาทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญา
ซึ่งสามารถจัดในรูปของกิจกรรมบูรณาการผ่านการเล่น ดังนี้
๑.
หลักการจัดประสบการณ์ ควรคำนึงถึงสิ่งสำคัญต่อไปนี้
๑.๑
เลี้ยงดูเด็กให้มีสุขภาพที่ดีและปลอดภัย
๑.๒
มีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับเด็กด้วยวาจาและท่าทีที่อบอุ่นเป็นมิตร
๑.๓
จัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้สอดคล้องกับธรรมชาติ ความต้องการและพัฒนาการของเด็ก
๑.๔
จัดสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย เอื้อต่อการเรียนรู้ตามวัยของเด็ก
๑.๕
ประเมินการเจริญเติบโตและพัฒนาการเด็กอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ
๑.๖
ประสานความร่วมมือระหว่างครอบครัว ชุมชน และสถานศึกษาในการพัฒนาเด็ก
๒.
แนวการจัดประสบการณ์
๒.๑
ดูแลสุขภาพอนามัยและตอบสนองความต้องการพื้นฐานทางร่างกายและจิตใจของเด็ก
๒.๒
สร้างบรรยากาศของความรัก ความอบอุ่น ความไว้วางใจ และความมั่นคงทางอารมณ์
๒.๓
จัดประสบการณ์ตรง ให้เด็กได้เลือก ลงมือกระทำและเรียนรู้จากประสาทสัมผัสทั้ง ๕
และการเคลื่อนไหวผ่านการเล่น
๒.๔
เปิดโอกาสให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลที่แวดล้อมและสิ่งต่างๆ รอบตัวเด็ก
อย่างหลากหลาย
๒.๕
จัดสถานที่ วัสดุอุปกรณ์ เครื่องใช้และของเล่นที่สะอาด ปลอดภัย เหมาะสมกับเด็ก
๒.๖
ใช้การสังเกตและติดตามการเจริญเติบโตและพัฒนาการอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ
๒.๗
ให้ครอบครัว ชุมชน และสถานศึกษามีส่วนร่วมในการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้กับเด็ก
10.จงวิเคราะห์ถึงการศึกษาปฐมวัยของไทยตามความรู้ความเข้าใจของนักศึกษา
ตอบ การศึกษาปฐมวัยในอดีตมีมาตั้งแต่ครั้งสมัยกรุงสุโขทัย
และได้มีการพัฒนามาจนกระทั่งในสมัยรัชกาลที่5
ได้มีการจัดตั้งสถานรับเลี้ยงเด็กแห่งแรกของประเทศไทย โดยดำริของพระอัครชายาเธอ
พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ กรมขุนสินีนาฎ ในรัชกาลที่5
นับตั้งแต่บัดนั้นก็ได้มีการจัดการศึกษาปฐมวัยโดยมีรูปแบบที่เป็นทางการตามโครงการศึกษา
ปีพ.ศ.2441 ซึ่งเป็นโครงการศึกษาฉบับแรกที่มีการจัดการศึกษา "มูลศึกษา"
ใน3รูปแบบ คือ โรงเรียนบุรพบท โรงเรียน กข นโม และโรงเรียนกินเดอกาเตน
และรัฐได้เริ่มให้ความสำคัญของการศึกษาในระดับปฐมวัย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2441 เป็นต้นมา
และพัฒนาการของการศึกษาปฐมวัย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2489
จนกระทั่งถึงหลักสูตรระดับก่อนประถมศึกษา พ.ศ. 2540
ได้มีการปรับปรุงและพัฒนามาโดยตลอดเพื่อให้สอดคล้องกับการพัฒนาเด็กปฐมวัย
ทั้งในด้านธรรมชาติพัฒนาการเด็ก โดยรัฐได้กำหนดนโยบายการพัฒนาการจัดการศึกษาให้เด็กปฐมวัย
โดยคำนึงถึงแนวคิดเกี่ยวกับเด็กปฐมวัยเพื่อนำไปสู่การพัฒนาเด็กปฐมวัยให้เต็มศักยภาพสูงสุด
โดยใช้กับเด็กตั้งแต่แรกเกิดจนกระทั่งถึง 5 ปี
เพื่อให้หน่วยงานที่จัดการศึกษาระดับปฐมวัย
ได้จัดประสบการณ์ให้มีคุณภาพเป็นไปในทิศทางและมีมาตรฐานเดียวกัน ซึ่งจะช่วยให้เด็กปฐมวัยเติบโตเป็นทรัพยากรบุคคลที่มีคุณภาพในการพัฒนาประเทศไทยต่อไป